Crest 3D white Whitestrips

การฟอกฟันขาว การฟอกสีฟัน ทำเพื่ออะไร

 

โดยธรรมชาติแล้วคนเราจะเริ่มเกิดมาพร้อมกับฟันที่ขาวสะอาด เป็นมันวาว นั่นเป็นเพราะว่ามีสารเคลือบฟันที่เรียกว่า Enamel ทำหน้าที่ปกป้องฟันอยู่ โดยสารเคลือบฟันจะถูกออกแบบมาให้ป้องกันฟันจาก การขบเคี้ยว การกระแทก การคุกคามจากกรดที่เกิดจากน้ำตาล แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า สารเคลือบฟันจะเริ่มเสื่อมสภาพลง จะเริ่มโปร่งใส และเริ่มมองเห็นเป็นสีเหลือง ซึ่งเป็นสีของเนื้อฟันที่อยู่ภายใน ที่เรียกว่า Dentin 

 

 

 

ในการเคี้ยวอาหารตามปกตินั้น ตัวเนื้อฟันจะยังคงรักษาสภาพเดิมไว้ได้ ในขณะที่ตัวเคลือบฟันจะเกิดรอยแตกเล็กๆขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งรอยแตกเหล่านี้ ทำให้เกิดการสะสมของคราบหรือเศษอาหารขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนท้ายที่สุดก็ทำให้ฟันที่เคยขาวสะอาดกลายเป็นด้าน และไม่มีประกาย

การฟอกสีฟัน จะช่วยกำจัดคราบเหล่านั้นได้ โดยที่รอยแตกจำหนวนหนึ่งอาจจะถูกซ่อมแซมด้วยสารในน้ำลาย ในขณะที่อีกจำนวนหนึ่งก็จะมีคราบหรือเศษอาหารเข้าไปสะสมใหม่
 

 

Bleaching  กับ Whitening

อ้งอิงจากข้อมูลของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของอเมริกา หรือที่เรียกว่า FDA (Food and Drug Administration) คำว่า การฟอกฟันขาว หรือ การฟอกสีฟัน (Bleaching ) จะได้รับอนุญาติให้ใช้ก็ต่อเมื่อเป็นการทำให้ฟันขาวขึ้นมากกว่าสีฟันตามธรรมชาติ ซึ่งคำนี้โดยทั่วไปมักจะใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ใช้สาร Hydrogen peroxide หรือ Carbamide peroxide

ส่วนคำว่า Whitening ซึ่งมีความหมายว่าทำให้ฟันขาวขึ้นนั้น จะใช้กับการทำให้สีฟันที่ผิวกลับคืนสู่สภาพเดิม โดยการกำจัดคราบต่างๆออก ผลิตภัณฑ์ที่ทำความสะอาด ทำให้ฟันขาวขึ้น เช่น ยาสีฟัน จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้

อย่างไรก็ตามปัจจุบันมักใช้คำว่า Whitening กันมากกว่า เนื่องจากคำว่า Whitening จะฟังดูดีกว่าคำว่า Bleaching แม้แต่ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้สาร Hydrogen peroxide หรือ Carbamide peroxide ก็จะใช้คำว่า Whitening แทน

 

 

ประเภทของคราบที่เกิดบนฟัน

อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท

1. Extrinsic stains – จะเป็นคราบที่เกิดบริเวณผิวฟัน โดยเป็นผลมาจาก เครื่องดื่ม อาหารที่มีสีเข้ม บุหรี่ รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันอื่นๆ ซึ่งคราบนี้จะมีทั้งแบบที่กำจัดออกได้ง่ายๆ ด้วยการแปรงฟัน และคราบที่ฝังแน่น ซึ่งสามารถกำจัดได้ด้วยการฟอกฟันขาว แต่คราบบางอย่างก็สามารถแทรกเข้าไปอยู่ในแกนของฟัน ซึ่งไม่สามารถจะกำจัดได้ง่าย

2. Intrinsic stains – เป็นคราบที่เกิดอยู่ภายในของฟัน อาจเกิดจากการบาดเจ็บ อายุ หรือการได้รับยาหรือสารเคมี ในช่วงที่ฟันจัดตัว หรือการได้รับสาร Fluoride มากเกินไป ซึ่งคราบพวกนี้สามารถกำจัดได้ แต่ต้องใช้เวลามากกว่าคราบอื่นๆ อาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี

 

สาเหตุที่ทำให้สีฟันเปลี่ยน

1. อายุ – สีของฟันมีความเกี่ยวข้องกับอายุโดยตรง ยิ่งอายุมากสีฟันก็จะยิ่งหม่นลง ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมสภาพและการสะสมของคราบ ในวัยรุ่นมักจะพบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการฟอกฟันขาว ได้มากกว่า ในขณะที่ยิ่งอายุมากยิ่งขึ้น เช่น 40-50 ปี ก็ยิ่งกำจัดคราบออกได้ยากยิ่งขึ้น อาจต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติถึงจะกำจัดคราบออกได้

2. สีของฟันตั้งต้น – คนเราเกิดมามีสีของฟันไม่เหมือนกัน บางคนสีเหลืองอมน้ำตาล บางคนสีเทาอมเขียว ก็ให้ผลไม่เหมือนกัน โดยทั่วไปคนที่สีฟันเหลืองอมน้ำตาลจะทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

3. ความบางของฟัน – มักจะเกี่ยวข้องกับอายุ โดยฟันที่หนา ไม่โปร่งแสง จะมีสีสว่างกว่า มีประกายกว่า เมื่อทำการฟอกฟันขาวแล้วจะได้ผลที่ดีกว่าคนที่ฟันบางและโปร่งแสง ซึ่งมักจะเป็นกับฟันหน้า ในทางการแพทย์แล้ว การโปร่งแสงของฟันไม่สามารถรักษาได้

4. นิสัยการบริโภค – คนที่ชอบดื่ม ไวน์แดง กาแฟ น้ำชา โคล่า แครอท ส้ม และเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีสีเข้มจะมีการสะสมของคราบได้มากกว่า ในขณะที่อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสภาพเป็นกรด เช่น มะนาว จะมีผลต่อการกัดกร่อนสารเคลือบฟัน ซึ่งทำให้ผิวฟันโปร่งแสงมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มองเห็นเนื้อของฟัน (dentin ) ซึ่งมีสีเหลือง

5. นิสัยการสูบบุหรี่ – สารนิโคตินจะทำให้ฟันมีสีอมน้ำตาล ซึ่งจะสะสมเข้าไปในเนื้อฟันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดสีที่ฝังอยู่ในเนื้อฟัน ซึ่งกำจัดออกได้ยาก

6. ยา หรือสารเคมี – การใช้ยาหรือสารเคมีบางอย่าง เช่น การใช้ตัวยา tetracycline ในช่วงที่ฟันกำลังจัดตัวอยู่ จะทำให้เกิดคราบเป็นแถบสีเทาหรือน้ำตาลเข้ม ซึ่งกำจัดออกได้ยากมาก

7. การขบกัดของฟัน – บ่อยครั้งที่เกิดจากความเครียด การขบกัดฟันจะทำให้เกิดรอยแตกที่ฟัน ส่งผลให้บริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้น

8. การบาดเจ็บ – การหกล้มหรือบาดเจ็บอื่นๆ สามารถทำให้เกิดรอยแตกที่ฟัน ซึ่งจะทำให้เกิดการสะสมของคราบขึ้นได้