Crest 3D white Whitestrips

ทางเลือกในการฟอกสีฟัน ราคาฟอกฟันขาว

 

การฟอกสีฟัน  หรือบ้างก็เรียก การฟอกฟันขาวนั้นจัดอยู่ในประเภทของการเสริมความงามประเภทหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มความงามบนใบหน้าให้ครบถ้วนแล้ว ยังเป็นการเสริมบุคคลิกภาพ เสริมสร้างความมั่นใจ ก็อย่างที่คนเค้ามักจะพูดกันว่า ผู้หญิงจะสวยที่สุดก็ตอนยิ้ม หากนึกภาพไม่ออก ผมอยากให้คุณลองนึกภาพเปรียบเทียบตอนตัวเองยิ้มแล้วมีรอยยิ้มที่ขาวสะอาดเปรียบเทียบกับสีฟันหม่นๆ ออกเหลือง มีคราบน้ำตาลติดอยู่ประปรายดู น่าจะพอเห็นภาพความแต่งต่างได้เป็นอย่างดี

 

 

ปัจจุบันมีหลายวิธีที่จะทำให้ฟันขาวขึ้นมาได้ เช่น การไปทำที่คลินิคด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ใช้เลเซอร์ หรือแสงเย็น บางท่านก็เลือกที่จซื้อมาทำด้วยตัวเองที่บ้าน ซึ่งในตลาดปัจจุบันก็มีหลายรูปให้ให้ใช้ มีทั้งแบบที่เป็นแผ่นเจลเคลือบตัวยา, แบบเป็นปากกา หรือเป็นแบบพิมพ์ถาดฟัน แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร คำถามที่มักจะถามกันก็คือ ต้องลงทุนกับการฟอกสีฟันราคาเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม เมื่อเทียบกันในเรื่องราคา ผลลัพธ์ที่ได้ ความคุ้มค่า ความยากง่ายในการทำ ในบทความนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงความแต่งต่างกันของวิธีฟอกสีฟันแต่ละแบบ เพื่อเป็นข้อมูลทางเลือกให้ผู้ต้องจะมีฟันที่ขาวสะอาดยิ่งขึ้น

 

ใช้ตัวยาอะไรในการทำ ?

แต่ก่อนที่จะเล่าถึงจุดนั้น ผู้อ่านควรทราบก่อนว่า ตัวยาใช้ในปัจจุบันมีอยู่ 2 ตัว ก็คือ Hydrogen Peroxide กับ Cabamine Peroxide ทั้งสองตัวนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งไม่ว่าจะทำแบบไหนก็จะหลีกไม่พ้นสองตัวนี้ ในผลิตภัณฑ์แต่ละตัวก็จะมีการออกแบบให้ใช้ตัวยาที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะกับสภาพฟันของแต่ละคน ทั้งนี้ที่ % ความเข้มขนตัวยาที่เท่ากัน ผลที่ได้จะแตกต่างกัน เนื่องจากความผลที่ได้รับจาก Hydrogen Peroxide กับ Cabamine Peroxide จะให้ผลแตกต่างกันประมาณ 3 เท่ากล่าวคือ ผลที่ได้จากการใช้ Hydrogen Peroxide ความเข้มข้น 10 % จะเทียบเท่ากับ Cabamine Peroxide 30 % โดยประมาณ การเลือกวิธีที่จะใช้ควรจะพิจารณาถึงจุดนี้ด้วย

 

ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดมีอะไรบ้าง

 

สิ่งที่ควรจะต้องพิจารณาอีกอย่างหนึ่งคือ ความเข้มข้นตัวยาที่สูงจะทำให้ฟันขาวขึ้นมากกว่า และใช้เวลาในการทำน้อยกว่า แต่ก็จะมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมากกว่าด้วย ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ที่พบก็คือ อาการเสียวฟันนั่นเอง อาการนี้จะเกิดเป็นระหว่างช่วงที่ทำ หรือ หลังจากที่ทำเสร็จแล้วก็อาจจะเป็นอยู่ 1-2 วัน แล้วจะค่อยๆหายไปเอง ซึ่งขณะที่เป็นนั้นบางคนถึงกับทนไม่ไหวเลยก็มี แต่จะเป็นมากหรือน้อย หรือไม่เป็นเลยนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพฟันของแต่ละคน หากปกติเป็นคนที่มีอาการเสียวฟันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ผู้เขียนก็แนะนำว่าไม่ควรเลือกวิธีการฟอกสีฟันที่ใช้ตัวยาฟอกสีฟันความเข้มข้นสูง เพราะจะส่งผลให้เกิดอาการเสียวฟันค่อนข้างมาก ควรจะไปใช้รุ่นที่ความเข้มข้นต่ำจะเหมาะสมกว่า ถึงจะขาวช้ากว่า แต่ก็จะไม่ทรมานเวลาใช้ และถ้าเราค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ก็จะขาวได้ในระดับเดียวกับตัวยาความเข้มข้นสูงได้เช่นกัน

 

ผู้เขียนขอแบ่งวิธีการฟอกฟันขาวในปัจจุบัน ออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้

 

1. In-Office Whitening หรือ แบบทำในคลินิค

วิธีนี้เป็นแบบไปทำที่คลินิค โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ข้อดีของวิธีนี้คือฟันจะขาวขึ้นโดยใช้เวลาไม่มากนัก จัดว่าขาวไวที่สุด แบบนี้จะใช้วิธีทา Peroxide เจลที่มีความเข้มข้นสูงลงบนผิวฟัน เนื่องจากเป็นตัวยาความเข้มข้นสูงจึงอาจจะทำให้เกิดอาการเสียวฟันค่อนข้างมากได้ โดยจะต้องมีการป้องกันเหงือกไว้ก่อนด้วยการการป้ายเจลหรือใส่ยางที่เรียกว่า Rubber Dam เอาไว้ ซึ่งโดยทั่วไปจะทำครั้งละ 15-20 นาทีหลายๆครั้ง จนครบ 1 ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็จะใช้แสงเลเซอร์ หรือ แสงพลาสม่า เป็นตัวช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาให้สารฟอกฟันขาวทำงานได้เร็วขึ้น สำหรับคนที่ฟันเหลืองมากๆ อาจจำเป็นต้องกลับมาทำเพิ่มอีกในภายหลัง หรือทันตแพทย์อาจแนะนำให้ซื้อเป็นชุดสำหรับให้เอากลับไปทำต่อที่บ้าน 

การฟอกสีฟันแบบทำที่คลินิคนี้แน่นอนว่าเป็นราคาฟอกสีฟันที่สูงที่สุด โดยทั่วไปถ้าเป็นใช้เลเซอร์ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 9,000- 15,000 บาท (ถ้าเป็นแสงแบบอื่นจะราคาถูกกว่านี้) แต่ก็ให้ผลดีที่สุดด้วย และครอบคลุมซอกหลืบในฟันมากที่สุด ซึ่งวิธีอื่นอาจจะไม่ครอบคลุมถึง

ปัญหาที่อาจจะพบก็คือ บางคนทำแล้วอาจจะได้ผลน้อย หรือไม่ได้ผลเลยก็เป็นได้ เพราะความขาวที่จะได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานสภาพฟันของแต่ละคน บางคนทำแล้วขาวมาก บางคนก็ขาวขึ้นนิดเดียว หรือบางคนไม่ดีขึ้นเลยก็มี ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอย่างนึงในการที่จ่ายเงินลงทุนไปแล้วอาจจะไม่ได้ผลตามที่คาดหวังไว้

สำหรับผู้เขียนแล้ว มองว่าวิธีนี้ไม่คุ้มเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าจะให้ความขาวสูงก็ตาม เพราะว่าสีของฟันจะเริ่มหม่นลงตามการใช้ชีวิตประจำวัน การกินดื่ม ชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ กินอาหารที่มีสี ล้วนแล้วแต่มีผลต่อสีของฟันทั้งนั้น โดยปกติฟันที่ผ่านกระบวนการนี้มาแล้วจะสามารถคงความขาวอยู่ได้นานเฉลี่ยประมาณ 1 ปี อย่างมากก็ราว 2 ปี ขึ้นกับการดูแลรักษา ผู้เขียนจึงมองว่าการลงทุนประมาณ 10,000 บาทเพื่อผลลัพธ์ที่คงอยู๋ 1 ปีดูจะไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก ผู้เขียนมีควมเห็นว่าวิธีนี้เหมาะกับคนที่มีความจำเป็น อยากได้ฟันที่ขาวมากขึ้นสูงที่สุด โดยใช้เวลาน้อยที่สุด โดยไม่มีปัญหาเรื่องเงิน

 

2. Professionally Dispensed Take-Home Whitening Kits  หรือ แบบคลินิคให้เอากลับไปทำด้วยตัวเองที่บ้าน

 

วิธีนี้เป็นการฟอกฟันขาวด้วยตัวเองที่บ้าน ภายใต้การควบคุมของทันตแพทย์ อาจจะเป็นการทำแยกต่างหากหรือต่อเนื่องจากการทำที่คลินิคก็ได้ โดยวิธีนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ แต่ต้องใช้เวลามากสักหน่อย เนื่องจากจะใช้ Peroxide เจล ความเข้มข้นต่ำ ผลที่ได้จะน้อยกว่าแบบทำที่คลินิค แต่ก็มีข้อดีคือจะทำให้ผลข้างเคียงจากอาการเสียวฟันน้อยกว่าด้วย

ขั้นตอนการทำคือ ทันตแพทย์จะพิมพ์ถาดฟัน ให้รับกับรูปฟันของผู้ใช้ โดยทำเป็นโครงไว้ เมื่อผู้ใช้จะใช้ก็จะทาตัวยาลงไปที่ตัวถาดพิมพ์ฟัน แล้วใส่เข้าไปครอบฟันไว้ หลังจากนั้นจะทิ้งไว้ระยะหนึ่ง ระหว่างนั้นห้ามกินอาหารหรือดื่มน้ำใดๆทั้งสิ้น โดยทั่วไปการใช้จะทิ้งไว้ประมาณ 1-4  ชั่วโมง หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ความเข้มข้นที่ใช้ บางครั้งอาจใช้แล้วทิ้งไว้ทั้งคืน ยิ่งความเข้มข้นของตัวยาต่ำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้เวลาทิ้งไว้ให้ติดกับฟันนานขึ้นเท่านั้น โดยจะทำต่อเนื่องกันราว 1 – 3 อาทิตย์

ตัวเจลมักจะมาในรูปหลอดฉีดยา และจะต้องใช้คู่กันกับถาดแม่พิมพ์ฟันที่ทำขึ้นมาโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้พอดีสำหรับแต่ละคน หากทำออกมาแล้วไม่แน่นพอดี มีการหลวม ก็จะทำให้ได้ผลน้อยลง จึงควรทำภายใต้การดูแลของทันตแพทย์

วิธีนี้ราคาค่าทำอยู่ในระดับปานกลาง โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 5000 – 8000 บาท วิธีนี้จะได้ผลช้ากว่าทำที่คลินิคเพราะตัวยาความเข้มข้นต่ำกว่า แต่ผลข้างเคียงจากอาการเสียวฟันก็จะน้อยกว่าด้วย ทั้งนี้ความขาวของฟันที่ได้จะแตกต่างกันตามสารฟอกสีฟันที่ใช้และ % ความเข้มข้น

 

3. Over-the-Counter Teeth Whitening หรือ แบบซื้อตามร้านทั่วไปมาทำด้วยตัวเอง

 

 

วิธีนี้เป็นแบบซื้อตามร้านทั่วไปกลับไปทำที่บ้านเอง โดยไม่ต้องผ่านการดูแลควบคุมโดยทันตแพทย์ แน่นอนว่าเป็นวิธีที่ถูกที่สุดและสะดวกมากที่สุดในวิธีทั้งหมด โดยจะใช้ตัวยาที่มีปริมาณความเข้มข้นต่ำ ซึ่งใช้เวลามากกว่าแบบทำที่คลินิค อาจจะเป็นราว 1 – 3 อาทิตย์ ในปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยเร่งให้ประสิทธิภาพในการทำดีขึ้น คือมีชุดให้แสง LED แบบทำเองที่บ้านขายเพิ่ม โดยจะช่วยยิงแสงฟ้าเพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาให้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งอุปกรณ์นี้จะเหมาะกับการใช้เจลมากกว่าแบบอื่น

ผลิตภัณฑ์แต่ละแบบจะใช้วิธีทำให้เนื้อเจลติดกับฟันโดยวิธีที่แตกต่าง อาจจะเป็น แบบแผ่นแปะติดกับฟัน หรือ แบบเป็นปากกาป้ายเจลลงบนฟันโดยตรง หรือ เป็นแบบถาดที่ต้องไปพิมพ์ฟันด้วยตัวเอง ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้

 

3.1 แบบถาดพิมพ์ฟันด้วยตัวเอง หรือที่เรียกว่า Teeth Whitening Tray


จริงๆแล้วแบบนี้ก็คือแบบเดียวกันกับแบบที่ 2 ที่เป็นชุดเอากลับไปทำเองที่บ้าน โดยที่มีทันตแพทย์คอยควบคุมนั่นเอง แต่จะต่างกันตรงที่แบบนี้ผู้ใช้รับผิดชอบเองทั้งหมด ไม่เกี่ยวข้องกับทันตแพทย์ ตั้งแต่พิมพ์ถาดฟันด้วยตัวเอง

ประเด็นสำคัญของแบบนี้คือ จะมีแผ่นพลาสติคมาให้ผู้ใช้เอาไปขึ้นรูปเอง ลักษณะจะเป็นแผ่นพลาสติคที่เปลี่ยนรูปได้เมื่อโดนความร้อน วิธีใช้ก็จะเอาเจ้าตัวถาดพลาสติคนี้นี้ไปจุ่มในน้ำร้อนให้อ่อนตัวลงก่อน แล้วให้เอาเข้าไปใส่ครอบฟันของเรา พยายามใช้มือกดถาดพิมพ์ฟันที่อ่อนตัวแล้วแนบกับฟัน หลังจากนั้นจะรอให้เย็น เพื่อให้พลาสติคคงรูปได้ แล้วจึงถอดออก ตัวแผ่นพลาติคนี้ก็จะคงรูปของฟันเราไว้ เอามาตัดแต่งอีกหน่อยให้เหมาะสม แล้วเวลาใช้ก็ฉีดเจลเข้าไปที่แผ่นพลาสติคที่ขึ้นรูปฟันเอาไว้แล้ว แล้วเอาเข้าไปครอบฟันไว้ หลังจากนั้นทิ้งไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด อาจจะ 1-4 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น ให้ดูตามคำแนะนำวิธีใช้ที่กล่องผลิตภัณฑ์

 

วิธีนี้จะมีข้อเสียที่มักพบคือ ขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก การขึ้นรูปถาดฟันเองนั้นทำได้ยาก มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพราะฉะนั้นโอกาสถาดพิมพ์ฟันหลวมมีสูง ทำให้เวลาใช้ได้ผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น


3.2 แบบปากกา หรือ Teeth Whiening Pen


แบบนี้อันนี้มีลักษณะเป็นปากกาเลย น่าจะเป็นวิธีใช้ที่ง่ายที่สุด คือจะใช้วิธีการทาลงไปบนฟันโดยตรง หลีกเลี่ยงการที่ริมฝีปากกระทบกับฟันในช่วง 1 นาทีแรก หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ค่อยล้างน้ำออก แบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ เนื่องจากเห็นผลค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับแบบอื่น

 

3.3 แบบแผ่นพลาสติคเคลือบเจล หรือ Teeth Whitening Strips


ลักษณะจะเป็นแผ่นพลาสติคเคลือบเจล โดยมีการออกแบบมาเป็นอย่างดี แผ่นเจลมีหลาย layer มีการเคลือบน้ำยาฟอกสีฟันเอาไว้  ปัจจุบันแบบนี้จะได้รับความนิยมค่อนข้างสูง เนื่องจากทำง่าย ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน บางรุ่นสามารถดื่มน้ำขณะใช้ได้ โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง

วิธีใช้ง่าย เพียงเอาแผ่นเจลไปแปะที่ฟัน แล้วกดให้แผ่นติดแนบกับผิวฟัน ทิ้งไว้ราว 30 นาที – 1 ชั่วโมง / ครั้ง ส่วนที่แผ่นเจลสัมผัสกับฟันก็จะขาวขึ้น


ข้อเสียของแบบนี้คือ ถ้าฟันมีการเกเยอะ หรือเรียงตัวไม่ดี จะทำให้แผ่นติดติดได้ลำบาก ถ้าจะใช้แบบนี้ให้ลองนึกภาพเราเอาสก็อตเทปมาแปะที่ฟันดูก็ได้ ว่าแปะแล้วครอบคลุมได้มากน้อยแค่ไหน

วิธีแบบทำเองที่บ้านนี้เป็นการฟอกฟันขาวราคาถูกและสะดวกที่สุด ใช้เวลาในการทำน้อย ราคาจะแตกต่างกันตามแต่ละผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไปมีตั้งแต่ประมาณ 900-3,000 บาท ขึ้นกับความเข้มข้นของสารฟอกสีฟันและระยะเวลาที่ใช้

ปัญหาที่อาจจะพบคือ ผลที่ได้จะช้ากว่าแบบทำที่คลินิค แต่ราคาจะถูกกว่าและอาการเสียวฟันจะน้อยกว่า ผู้ใช้สามารถเลือกความเข้มข้นของสารฟอกสีฟันที่เหมาะกับสภาพฟันของตัวเองได้ และอาจจะไม่ครอบคลุมตามซอกหลืบของฟัน เท่าแบบทำที่คลินิค

3.4  ยาสีฟัน 

ยาสีฟันจะทำให้ฟันขาวขึ้นได้น้อยมากๆ เนื่องจากเป็นการกำจัดคราบที่เกิดที่ผิวฟันเท่านั้น จะไม่สามารถดึงคราบที่อยู่ในเนื้อฟันออกมาได้แบบวิธีอื่นที่กล่าวมาแล้ว จึงไม่เป็นที่นิยมนัก ผลที่ได้อาจจะน้อยกว่าวิธีอื่นหลายสิบเท่าและใช้เวลานานกว่า โดยทั่วไปยาสีฟันมักจะใช้ในการกำจัดคราบที่ผิวฟันหรือปัองกันไม่ให้คราบใหม่ไปทำให้ฟันเหลืองเพิ่มขึ้นมากกว่า มักใช้ในการรักษาความขาวของฟันที่ผ่านกระบวนการอื่นมาแล้ว เพื่อให้ฟันขาวอยู่ได้นานยิ่งขึ้น

 

สรุปแล้ววิธีไหนดีที่สุด

ไม่ว่าเราจะเลือกใช้วิธีฟอกฟันขาวแบบไหน จะเป็นการทำที่คลินิคด้วยเลเซอร์ ด้วยแสงเย็น ที่มีราคาสูงหรือเป็นแบบ ชุดฟอกสีฟันที่บ้าน ที่มีราคาถูก ระยะเวลาที่ฟันยังคงความขาวอยู่ได้ก็จะที่ประมาณ 1-2 ปี (โดยทั่วไปประมาณ 1 ปี) เท่านั้น โดยสีของฟันจะค่อยๆหม่นลงตามการบริโภคและดูแลรักษาฟันของแต่ละบุคคล ถ้าเป็นคนที่กินชา กาแฟ หรือสูบบุหรี่เป็นประจำก็จะหม่นลงเร็วยิ่งขึ้น 

ผู้เขียนมองว่าการลงทุนหลายพัน หรือเป็นหมื่นบาท เพื่อผลลัพธ์ที่อยู่ได้ประมาณ 1 ปี ดูจะไม่คุ้มเท่าไหร่นัก ผู้เขียนจึงแนะนำวิธีที่ 3 แบบทำด้วยตัวเองที่บ้าน เป็นวิธีที่ผู้เขียนแนะนำมากที่สุด เนื่องจากมีความคุ้มค่าของผลลัพธ์ที่ได้เมื่อเทียบกับราคาสูงกว่าแบบอื่น นอกจากนั้นผลข้างเคียงจากอาการเสียวฟันน้อยกว่า อีกทั้งผู้ใช้สามารถเลือกวิธีหรือความเข้มข้นตัวยาที่เหมาะกับสภาพฟันของตัวเองได้ ทั้งนี้หากผู้ใช้ต้องการให้ขาวมากขึ้นก็สามารถใช้ต่อเนื่องกันได้ แต่หากผู้อ่านมีงบประมาณสูง และต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เร็วที่สุด ทางเลือกในการฟอกสีฟันที่คลินิคจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

ผลิตภัณฑ์ประเภททำด้วยตัวเองนี้ที่เป็นที่นิยมที่สุดคือ Crest 3DWhite Whitestrips ซึ่งเป็นประเภทแผ่นพลาสติคเคลือบเจล ที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในอเมริกา ติดอันดับสินค้าขายดีด้านความงามใน website ค้าปลีกอย่าง Amazon.com มานานหลายปี อีกทั้งได้รับรางวัลจากนิตยสารและ website ด้านความงามระดับโลกมากมาย

อย่างไรก็ตามหากมีการดูแลฟันด้วยยาสีฟันที่ปกป้องคราบที่เกิดประจำวันได้ดี ก็จะช่วยให้ฟันสามารถรักษาความขาวให้อยู่ได้นานขึ้น ทางร้านแนะนำผลิตภัณฑ์ยาสีฟันของ Crest 3DWhite ซึ่งเป็นยาสีฟันที่ได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย ช่วยกำจัดคราบที่ก่อตัวบนฟันได้ถึง 90% ในเวลาเพียง 5 วัน จะช่วยให้ฟันที่รักษาความขาวให้คงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น